เรื่องการเมืองคลีโอพัตตราจึงเอาตัวเองเข้าแลก

คลีโอพัตตราได้ขึ้นมามีบทบาทในอียิปต์ครั้งแรกหลังจากที่แม่ของเธอนั้นได้สิ้นชีวิตคลีโอพัตตรานั้นเธอได้แจ่งงานกับพ่อของเธอที่จริงแล้วมันก็ไม่เชิงแต่งงานหรอกแต่ชาวอียิปต์เขาเชื่อว่าบัลลังก์จะต้องมีคู่กับราชนีแล้วก็ราชวงศ์อียิปต์ในสมัยก่อนเขาก็ไม่นิยมที่จะเข้าคนนอกขึ้นมาเป็นราชวงศ์

ดังนั้นถ้าจะหาคนมาเป็นพระราชนีหรือพระราชาองค์ต่อไปเขาก็เลือกเอาภายในบ้านของตัวเองนี่แหละหลังจากนั้นพ่อของคลีโอพัตตราก็ก็ได้เสียชีวิตลงและแล้ววงจรอุบาทเดิมก็เริ่มขึ้นพระนางก็ได้เอาน้องชายของตัวเองที่มี10ขวบขึ้นมาเป็นผัวของตัวเองด้วยอำนาจที่มีอยู่ในมือของนางหลังจากนั้นไม่นานน้อยชายของเธอก็ได้เสียชีวิตลงเรื่องนี้เราไม่รู้ว่าเธอได้ไปทำอะไรหรือเปล่า

นอกจากนั้นเธอก็ได้เอาน้องชายของเธอที่เป็นคนเล็กอีกคนขึ้นเป็นมาเป็นผัวอีกทีหนึ่งแต่ก็ใช่ว่าพระนางจะใช้แค่อำนาจอย่างเดียวขึ้นชื่อว่าผู้หญิงความสวยมันก็ต้องเป็นสิ่งคู่กันเล่ากันว่าคลีโอพัตตราหาของมาทุกอย่างเพื่อความสวยความงามของตัวเอง

โดยเงิน50%ของทองพระคลังก็เสียไปกับรูปโฉมของนางทั้งนั้นเลยพระนางได้สันหาวิธีการแปลกๆนานาเพื่อจะทำให้ความสวยนั้นยังคงอยู่คู่กับเธอตลอดเวลาตัวอย่างเช่นนางได้ส่งคนไปถึงปราสาทปุยฝ้ายที่ตุรกี

ซึ่งได้เป็นบ่อน้ำพุร้อนเพื่อจะไปเอาดินจากมันกลับมาที่อียิปต์เพื่อนำเอามารักษาผิวปราสาทปุยฝ้ายแห่นี้เข้าไปคุกในดินแต่แทนที่ผิวมันจะขาวกลับดำสนิทว่ากันว่าสูตรต่างๆของพระนางคลีโอพัตตรามีมากถึงขั้นทำหนังสือได้เป็นเล่มๆเลยทีเดียวมันก็เป็นที่หน้าเสียด้ายว่าหนังสือเหล่านี้มันได้ถูกเผาไปในช่วงที่มีไฟไหม้ในห้องสมุดที่เมืองอเล็กซานเดรียไม่อย่างงั้นสาวๆคงจะมีวิธีการบำรุงผิวที่ดีกันแล้วเนอะ

นอกจากนี้ในความบ้าเครื่องสำอางของพระนางคลีโอพัตตราบ้าถึงขนาดที่สั่งให้มีการสร้างโรงงานทีมโฉมของนางเลยและมันก็ได้มีหลักฐานในการค้นพบอยู่ในอียิปต์ในปัจจุบันเขาจะขอพูดถึงวิธีหมัดใจหนุ่มคลีโอพัตตราโดยคนแรกนั้นก็คือจูเลียสซีซาร์ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่หนุ่มหรอกมีอายุตั้งห้าสิบสอง

ในขณะนั้นเองคลีโอพัตตราก็ยังสาวมีอายุเพียงแค่21และที่แน่นอนสาวๆใครเขาจะมาชอบคนแก่จริงไหมแต่เพราะว่าด้วยเหตุผลทางการเมืองอียิปต์ต้องการที่จะสารสัมพันธุ์กับอาณาจักรโรมคลีโอพัตตราก็เลยคิดวิธีที่จะจับใจซีซาร์คนนี้ให้จงได้

 

สนับสนุนโดย  แทงหวยออนไลน์ไม่มีขั้นต่ำ

โพสท์ใน ประวัติศาสตร์ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน เรื่องการเมืองคลีโอพัตตราจึงเอาตัวเองเข้าแลก

การทรมานสมัยสมเด็จพระเพทราชา

หากใครเคยได้ฟังเรื่องการประหารในครั้งนี้ตัดหัวข้าไม่เสียเถอะทำไมมันต้องมาทรมานอะไรอย่างนี้แต่ละวิธีมันคิดกันมาได้ยังไงกันนี่คนสมัยก่อนเขาว่างกันมากเลยใช่ไหมเราจะมาดูการประหารที่ไม่ใช่โทษแค่ตายอย่างเดียวแต่มันยังทำให้สาแก่ใจคนที่มาดูด้วยเรียกได้ว่าประหารกันอย่างดิสม์ที่ชาวตะวันตกถึงกับต้องร้องเลยทีเดียว

ซึ่งเราย้อนยุคกับไปดูในอดีตก็จะมีบุคคลโหดๆต่างๆมากมายที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ตัวอย่างหนึ่งบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ชอบใช้การทรมารอย่างโหดๆโดยมีความโหดที่ไม่แพ้ฝรั่งเลยก็คือพระเพทราชา 

เนื่องจากพระเพทราชาเป็นคนเลี้ยงช้างโดยท่านก็ได้ยึดอำนาจเมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคตจากบันทึกต่างๆมากมายก็อาจจะมีจริงบ้างแต่งขึ้นมาบ้างแต่โดยรวมแล้วพระองค์ก็เป็นกษัตริย์คนหนึ่งที่มีความโหดร้ายมากเลยทีเดียว

โดยว่ากันว่าพระองค์จะมีความสุขเมื่อได้มองเห็นผู้อื่นได้ถูกทรมานมีครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงสั่งให้แม่ทัพให้ไปตีเมืองนครศรีธรรมราชแต่ก็ทำไม่สำเร็จเมื่อกลับมาพระองค์ก็จะลงโทษด้วยวิธีการให้ใช้เหล็กแดงในการแนบเท้าทุกคนและในระหว่างที่ได้มีการสอบสวนพระองค์ก็จะให้ใช้ไม้แหลมในการทิ่มลงไปที่ลิ้น

เพราะฉะนั้นเมื่อชำระความตามที่ต้องการแล้วเขาก็จะให้นำเอาทุกคนไปมัดไว้กับหลักไม้และให้นั่งกับพื้นโดยจะมีผ้าอุดปากเอาไวอยู่เพื่อเป็นการปิดเสียงไม่ให้กรีดร้องกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในตอนต่อไปหลังจากได้เตรียมอะไรเอาไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าพนังงานก็จะเดินเข้ามาแล้วก็ใช้มีดแหลมตัดหนังศีรษะจนถึงกระโหลกเสร็จแล้วเขาก็จะนำเอาหนังมาสับให้ละเอียดนิ้วแขนขาโดนตัดหมด

นอกจากนั้นแล้วเขาก็จะเอามีดจิ้มเข้าไปตั้งแต่ปลายเอวแล้วก็รากไปจนถึงหัวไหล่เพื่อที่จะเอาหนังออกแล้วก็บังคับให้นักโทษทุกคนกลืนเนื้อของตัวเอง

ซึ่งโดนตัดเนื้อทีแรกก็น่าจะตายหมดแล้วหลังจากนั้นยังไม่พอเวลาที่มีการลงโทษใดๆแบบนี้มันก็จะต้องมีพวกไทยมุงนั่นแหละเขาก็จะเรียกบรรดาพวกผู้หญิงที่เป็นไทยมุงให้วิ่งเข้ามาแล้วก็เอากำปั่นมาทุบเนื้อบนศีรษะที่แบบไม่มีผิวหนังหุ้มอยู่แล้วแน่นอนแล้วว่านักโทษเหล่านี้ก็จะต้องได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

โดยความอายไม่มีแล้วในตอนนั้นใครที่ตายก่อนก็ถือว่าโชคดีสุดๆส่วนใครที่ยังไม่ตายก็ยังถูกทรมานรากยาวไปถึง12วันกันเลยทีเดียว

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  ทาง เข้า dewabet

โพสท์ใน ประวัติศาสตร์ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน การทรมานสมัยสมเด็จพระเพทราชา

การเล่นผีกระด้ง ราชบุรี

สำหรับการเล่นผีของชาวราชบุรีแล้วชาวบ้านเขาก็จะมานั่งล้อมวงกันแล้วให้ผู้เล่นได้นั่งอยู่ตรงกลางแล้วจะมีคนที่ดูแลร่างหลังจากที่ได้มีผีเข้าร่างของคนที่นั่งแล้วเขาจะเป็นคนที่คอยดูแลร่างในระหว่างที่กำลังเล่นหรือว่าเป็นคนที่เชิญผีเข้าและเชิญผีออก

เมื่อเจ้าพิธีเขาได้เห็นว่าผู้เล่นผีเริ่มทีจะเหนื่อยแล้วร่างพิธีเขาก็จะทำการจับร่างที่ผีสิงอยู่จับให้นั่งลงแล้วจากนั้นก็ส่งเสียงร้องดังๆเข้าไปที่หูเพื่อทำการบอกให้ผีที่เข้าร่างนั้นให้ออกจากร่างจากนั้นก็จะให้ร่างไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยว่ากันว่าการเล่นผีของชาวมอญนั้นจำเป็นที่จะต้องมีผู้เล่นสองถึงสามคนที่มันจะต้องเป็นการเล่นกันอยู่สามคนและมากกว่าสองคนขึ้นไปเขาได้บอกว่ามันจะยิ่งสนุกเลย

นอกจากนี้ในการเล่นผีของชาวมอญนี้นั้นก็คือผีด้ง สำหรับการเล่นผีกระด้งของคนชาวมอญนี้มันก้ไม่ต่างอะไรเลยกับการเล่นผีกะลาโดยคนดูก็จะเข้ามาล้อมวงกันจากนั้นก็จะให้ผู้ที่เล่นเข้าไปนั่งอยู่ตรงกลางในคราวนี้ผู้เล่นจะมีกระด้งวางอยู่ด้านหน้าและเจ้าพิธีก็จะอัญเชิญผีให้เข้ามาในร่างเหมือนเดิมจะเริ่มทำการปิดตาของร่างแล้วก็จะอัญเชิญให้ผีเข้าสิงร่าง

ซึ่งจะมีคาถาในการอัญเชิญผีกะด้งเข้าสิงด้วยแต่ว่าเราไม่กล้าพูดเพราะว่ากลัวของที่เรามองไม่เห็นมันจะเข้าตัวเองแล้วเมื่อคนทำพิธีได้พูดจบเมื่อไหร่คนดูก็จะร้องพร้อมๆกับพร้อมกับการปรบมือให้เป็นจังหวะและพวกเขาก็จะทำการร้องแบบนี้กันไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีผีได้เข้ามาสิงอยู่ในร่าง

เนื่องจากนี้แล้วถ้าหากว่าอยากให้มีการอัญเชิญผีให้มาเข้าสิงร่างอย่างเร็วแล้วก็จะต้องมีการเร่งจังหวะให้มันเร็วขึ้นๆเร็วขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเจ้าพิธีได้เห็นว่ามีผีเข้ามาในร่างแล้วเจ้าพิธีก็จะมีการร้องอีกท่องหนึ่งต่อมันเป็นท่องที่ยาวมากเมื่อผีเข้าสิงแล้วเจ้าพิธีก็จะทำการร้องต่อไปอีกยาวมากแล้วก็จะมีคนดูอยู่ช่วยปรบมือกันให้เป็นจังหวะเลย

ซึ่งเราได้เคยไปเห็นคลิปหนึ่งของการเล่นผีกระด้งและผู้เล่นที่มีอาการผีเข้ามาสิงในร่างแล้วก็จะมีการขยับกระด้งตามเพลงที่ร้องถ้าร้องเร็วกระด้งก็จะขยับตามเพลงเร็วทั้งนี้ผีที่เข้ามาสิงร่างนั้นจะเร็วหรือช้าด้วยก็เป็นการละเล่นของชาวมอญที่อนุรักษ์กันเอาไหวตลอดมา

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  betbb

โพสท์ใน ตำนาน | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน การเล่นผีกระด้ง ราชบุรี

กระสือมีจริงหรือไม่?

สำหรับหลักฐานของตำนานผีกระสือที่มันได้เป็นรูปแบบของวีดีโอหรือว่าเป็นรูปภาพนั้นมันได้เป็นหลักฐานที่มันสามารถจับต้องได้

ซึ่งตรงนี้เราก็ได้ทำการหาข้อมูลและพิจารณารูปภาพเหล่านั้นหรือคลิปวีดีโอเหล่านั้นมาแล้วปรากฏว่าหลักฐานในรูปแบบของรูปภาพมันค่อนข้างที่จะพิจารณายากพอสมควรเพราะว่าความคมชัดของรูปภาพที่เขาได้มีการอ้างกันว่ามีคนถ่ายรูปภาพติดกระสือได้หรืออะไรก็แล้วแต่และมันมีค่อนข้างต่ำและมีแต่รูปถ่ายในตอนกลางคืนมันก็เลยไม่สามารถที่จะตอบได้ตรงๆว่ามันคือรูปภาพของผีกระสือจริงๆหรือเปล่าหรือมันอาจจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอะไรมันก็อาจจะเป็นไปได้

โดยตรงนี้มันไม่สามารถที่จะบอกได้เลยจริงๆแต่อีกหลักฐานหนึ่งที่มันเป็นรูปแบบของวีดีโอมันได้มีอยู่หนึ่งคลิปวีดีโอที่หน้าสงสัยและน่าสนใจอยู่พอสมควรนั้นก็คือคลิปวีดีโอที่ได้เป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้เอง

สำหรับหลักฐานทางวีดีโอตรงจุดนี้มันค่อนข้างที่จะพูดยากมากเลยเพราะว่าหลักฐานตรงนี้มันได้ต่างไปจากวีดีโอตรงอื่นที่ว่าวีดีโอตรงอื่นที่เราจะมองเห็นกันในส่วนใหญ่เราจะเห็นว่ามันเป็นแสงๆไฟที่อยู่ในระนาบพื้นดินหรือว่ามันลอยอยู่เหนือพื้นดินอยู่ไม่มาก

นอกจากนี้มันก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่ตีความกันฝันไปว่ามันอาจจะเป็นพวกชาวบ้านที่ติดดวงไฟอยู่บนหัวแล้วก็ออกจากบ้านมาหาปูหากบในช่วงกลางคืนหรือเปล่าแต่คลิปวีดีโอดวงไฟตรงนี้มันได้เป็นดวงไฟที่มันได้ลอยอยู่บนท้องฟ้าและมันได้ลอยในลักษณะที่มันไม่เป็นรูปแบบ

ซึ่งเราจะคิดว่ามันเป็นโดนมันก็คงจะไม่ใช่เพราะคนที่เขขาถ่ายคลิปเอาไว้ได้เขาบอกว่าเขานั้นสามารถยืนยันได้เลยว่ามันไม่มีเสียงทั้งเครื่องยนต์มันไม่มีเสียงทั้งใบพัดแล้วมันก็ไม่มีเสียงอะไรเลยเห็นแต่เพียงดวงไฟเคลื่อนวนไปวนมาอยู่ภายในบริเวณนั้นก่อนที่จะหายไปนั่นเอง

เนื่องจากนี้มันก็ยังมีอยู่อีกหลายคนที่เขามองกันว่าตรงนั้นมันอาจจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือมันอาจจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มันสามารถส่องแสงได้อย่างหิ่งห้อยหรือเปล่าตรงนี้มันก็มีหลายๆคนที่ต่างความคิดเห็นออกไปแต่ถ้าจะถามเราเกี่ยวกับคลิปนี้ในความคิดของเรามันไม่สามารถที่จะตอบได้เลยจริงๆว่ามันคืออะไร

ถ้าหากว่าคลิปนี้มันไม่ใช่คลิปวีดีโอที่ได้ทำการแต่งขึ้นมามันก็อาจจะมีความเป็นไปได้ทั้งกระสือและมันก็อาจจะมีความเป็นไปได้ทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือสัตว์ที่สามารถส่องแสงได้อย่างหิ่งห้อยก็เป็นได้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  สูตรหวยยี่กี 2ตัวล่าง lottovip

โพสท์ใน ตำนาน | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน กระสือมีจริงหรือไม่?

เผด็จการ นายปัก จุงฮี

ซึ่งในเรื่องหนึ่งที่น่าสังเกตในการปกครองของเผด็จการเกาหลีก็คือการออกกฎหมายและกฎหมายในหลายฉบับไม่ว่าจะเป็นกฎหมายพรรคการเมืองที่บังคับให้พรรคการเมืองมีที่ทำการพรรคอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้นแต่ต้องมีสำนักงานในทุกจังหวัดทั่วประเทศและไม่ให้มีความยึดโยงกับประชาชนในพื้นที่ของตัวเองหรือกฎหมายเลือกตั้งที่ กกต. ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นกับพรรคฝ่ายค้านแต่ก็ปล่อยให้พรรครัฐบาลทำได้ทุกอย่าง

การใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมแทน ที่จะใช้การบังคับด้วยกำลังสร้างความคุ้นเคยที่อันตรายให้กับประชาชนนั่นก็คือความรู้สึกฝังหัวลึกๆว่าเวทีการเมืองปกติก็จะต้องถูกกำกับด้วยกฎหมายแบบนี้การที่พรรคการเมืองมีกฎหมายบังคับมากมายนั้นเป็นเรื่องปกติทั้งๆที่หากลองคิดดูๆแล้วบทบาทหน้าที่แท้จริงของพรรคการเมืองก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการอาสาเป็นตัวแทนของประชาชนเท่านั้น

นอกจากนี้เขาจะมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ไหนหรือมีสาขาครบทุกจังหวัดหรือไม่มันไม่ใช่สาระสำคัญแม้แต่น้อยนี่คือสิ่งที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่า

การเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบอนุรักษ์นิยม 

เมื่อ นายปักจุงฮี ได้อยู่ครบ/วาระในปี ค.ศ.1971 ก็มาถึงทางตันเพราะว่ารัฐธรรมนูญที่เขียนเองใช้เองกำหนดได้แค่อยู่สองวาระเท่านั้นที่ผ่านมาก็ชนะพรรคของพลเรือนแบบฉิวเฉียดมาตลอด

ถ้าเปลี่ยนตัวขึ้นมาก็กลัวจะแพ้  นายปักจุงฮี  เลยแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆแบบที่นายรีซึงมันเคยทำมาแล้วและเขาก็ชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่3แต่ก็เป็นการเลือกตั้งที่ค้านสายตาประชาชนมากๆกฎเขียนเอาไว้ว่าสองวาระอันนี้แก้หน้าตาเฉยเลยทำให้เกิดแรงต่อต้านมากแม้แต่ฐานเสียงในเมืองหลวงที่เคยเลือกพรรคทหารมาเสมอก็ยังหันไปเลือกฝ่ายพลเรือนแทน 

เนื่องจากฝ่ายค้านและนักศึกษาแรงงาน จำนวนมากจับมือกันต่อต้านเขารุนแรงงานขึ้นหลังเลือกตั้งไม่นาน นายปัก จุงฮี ก็ตัดสินใจประกาศสภาวะฉุกเฉินงบใช้รัฐธรรมนูญยุบสภายุบพรรคการเมืองเรียกสั้นๆว่าทำรัฐประหารตัวเองนั่นแหละเป็นอันว่าสิ้นสุดสาธารณรัฐที่สาม

ยุคสาธารณรัฐที่สี่ ค.ศ.1972 – 1979 หลังจากได้กลับไปปกครองด้วยการประกาศสภาวะฉุกเฉินอยู่ราว1ปีในปี  ค.ศ.1972 รัฐบาลของปัก จุงฮี ก็ประกาศใช้รัฐธรรนูญใหม่ที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญยูชิน

นอกจากตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีแล้วก็ยังใช้อำนาจประธานาธิบดีแบบล้นเหลือเป็นได้ไม่จำกัดวาระอีกทั้งยังได้แต่งตั้งสมาชิกสภาได้ถึง1ใน3ให้พวกตัวเองให้ยกมือให้เป็นประธานาธิบดีต่อมาได้อีกถึง2สมัยเสรภาพไม่ต้องพูดถึงเผด็จการเต็มที่มีหน่วยข่าวกรองKCIAเป็นมือเป็นไม้คอยขัดขวางการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลและจัดการกับฝ่ายค้านคอยยุบพรรคการเมือง

โพสท์ใน ประวัติศาสตร์ | ติดป้ายกำกับ | ปิดความเห็น บน เผด็จการ นายปัก จุงฮี

ประวัติศาสตร์การค้นคว้างชนเผ่าคนไทยของนายวิลเลียม เคร์ดเนอร์

สำหรับการสำรวจในการค้นหาว่าคนไทยเรานั้นได้มีถิ่นกำเนิดมาจากนั้นกันแต่มันก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือได้เพราะว่าได้มีอีกหลายทฤษฎีมากมายที่มีการสำรวจของคนไทยและวันนี้เราก็ได้มีงานค้นคว้างที่มีความเกี่ยวข้องกับคนไทยพร้อมแล้วพิจารณาไปด้วยกันเลย

นอกจากนี้ก็ได้มีงานค้นคว้างที่เด่นอีกอย่างคืองานของ นายวิลเลียม เคร์ดเนอร์ ซึ่งค้นคว้าเกี่ยวกับยูนนาน โดยได้สำรวจภูมิประเทศและเผ่าพันธุ์ที่ได้ตกค้างในยูนนานสรุปว่าถิ่นเดิมของชาเผ่าคนไทยควรอาศัยอยู่ในที่ต่ำใกล้กับทะเล เลช่น มณฑลกวางสีกวางตุ่ง ส่วนในแทบอัลไตนั้น คนไทยไม่น่าจะอยู่เพราะว่าคนไทยยนั้นเาชอบการปลูกข้าวชอบดินแดนแทบร้อนไม่ชอบเนินเขา

นอกจากนั้นก็ยังได้มีนักวิชาการจากทางด้านตะวันตกอีกหลายท่านที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นนี้จนไม่สามารถที่เราจะนำเอามาเล่าได้ทั้งหมดงานเขียนของบุคคลเหล่านี้ก็ได้ให้แนวคิดแก่นักวิชาการไทยและต่างประเทศเช่น นายยอร์ช เซเดส์ 

ซึ่งก็ได้สรุปว่าชนชาตไทยได้แผ่ออกไปเหมือนกับผืนผ้าที่มีขนาดใหญ่มหึมาได้ปกคุมประเทศจีนแทบตอนใต้แทบตังเกี๋ยลาวสยามถึงพม่าส่วนนักประวัติศาสตร์ไทยที่ได้สนใจศึกษาค้นคว้างในประเด็นนี้ก็คือ พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) โดยอาศัยทั้งเอกสารไทยและต่างประเทศงานเขียนของท่านก็คือ พงศาวดารโยนก

ซึ่งได้ตีพิมพ์ในปีพ.ศ.2441- 2442งานชิ้นนี้ได้สรุปว่าคนไทยนั้นได้มาจากตอนใต้ของจีนจากนั้นก็ได้มีศาสตราจารย์ขจร สุขพานิชที่ได้เขียนสรุปถิ่นกำเนิดของคนไทยว่า มีอยู่ที่ทางตอนใต้ของประเทศจีนเขตมณฑลกวางตุ้ง กวางสี 

เมื่อ128ก่อนคริสต์ศักราชพระราชวงศ์ซางที่ได้เป็นมิตรเพื่อนบ้านกับเผ่าไทยล่มจมลงเพราะว่าบรรพบุรุษของจีนได้ตั้งราชวงศ์โจขึ้นครองบ้านครองเมืองจึงได้ทำให้พวกเจ้านายและพวกหนุ่มๆได้พาบริเวณอพยพลงมาทางตะวันตกตั้งแต่มณฑลเสฉวนเมืองเชียงตูลงล่างเรื่อยมาจนเข้าเขตยูนนานเมืองซาเหอและลงมาทางใต้ผ่านเขต12จุดไทยลงมาในเขตของประเทศลาวได้มีแขวนเผ่าไทยเดิมชื่อว่า ตูลาน

ซึ่งจีนได้เปลี่ยนชื่อเรียกว่าฉ่างโกในราชวงศ์หั่นซึ่งเมืองนี้ก็คือเมืองอาณาจักรลานช้างนั่นเองนักประวัติศาสตร์ไทยที่เป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งก็คือนาย จิตร ภูมิ ศักดิ์ได้ใช้วิธีในทางลุกติศาสตร์วิเคาระห์ตำนานพงเสาวดารท้องถิ่นทางเหนือของประเทศไทยและได้ตรวจสอบจารึกของประเทศที่ได้อยู่ข้างเคียงเขียนหนังสือชื่อความเป็นมาของคำสยามไทยลาวและขอมได้พิมพ์เผยแพร่ในราวพ.ศ.2519

โพสท์ใน ประวัติและตำนาน | ติดป้ายกำกับ | ปิดความเห็น บน ประวัติศาสตร์การค้นคว้างชนเผ่าคนไทยของนายวิลเลียม เคร์ดเนอร์

การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง2475

นอกจากนี้หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี2475ก็ได้มีนายกรัฐมนตรีได้แยกไปอีกคนหนึ่งเขาก็ได้เข้ามานั่งในที่ประชุมเสนาบดีพระมหากษัตริย์ก็ทรงเป็นประมุกของรัฐการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในแนวทางการเมืองการปกครองถามว่าอะไรคือเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการระบบการเปลี่ยนแปลง2475คือการทำให้พระมหากษัตริย์นั้นทรงหลุดพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ซึ่งองค์เจ้า วรรณท่านพูดถูกว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง2475ทำให้เรารักในหลวงมากขึ้นและเหตุผลที่ทำให้เรารักในหลวงมากขึ้นเพราะว่าท่านไม่ทรงเป็นนายกรัฐมนตรี

หลังจากที่มีการยึดอำนาจเสร็จสิ้นนอกจากการลดค่ารัฐชูประการและออกพระราชบัญญัติห้ามยึดทรัพย์กสิกรแล้วงานที่สำคัญของปรีดีและคณะราษฎรคือการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกและจัดให้มีผู้แทนราษฎรตลอดจนการเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยงานวางรากฐานระบอบประชาธิปไตยที่มีความสำคัญยิ่งนี้ดำเนินไปตามท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างคณะราษฎรกับกลุ่มอำนาจเก่าที่ขุขุ่นอยู่ตลอกเวลา

กล่าวได้ว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจหรือสมุดปกเหลือนี้เป็นเอกสารที่สะท้อนถึงความคิดของปรีดีพนมยงค์ได้ดีที่สุดชิ้นหนึ่งทว่าการเสนอเอกสารนี้กลับกลายเป็นจุดหักเหของชีวิตและพลักผันเส้นทางประวัติศาสตร์สยามอันเนื่องมาจากข้อความในเอกสารนี้กลายเป็นบ่อเกิดความแตกแยกในคณะราษฎรอย่างสำคัญยิ่งเอกสารเค้าโครงการเศรษฐกิจมีใจความสำคัญคือให้รัฐบาลทยอยซื้อที่ดินจากเอกชนและจัดตั้งสหกรที่ทำการผลิตขายและจัดสวัสดีการต่างๆของชุมชนขึ้นให้กระจายครอบคุมทั่วประเทศการเสนอให้ราษฎรส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างของรัฐและสหกรทั่วประเทศดำเนินการผลิตภายใต้กรอบของรัฐแสดงถึงแนวคิดรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางในเค้าโครงเศรษฐกิจนี้

ขณะที่การเปิดโอกาศให้สหกรควบคู่จัดการผลิตการขายตลอดจนจัดการศึกษาและปกกันตนเองแสดงถึงแนวคิดการกระจายอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจการเมืองเค้าโครงการเศรษฐกิจ

ซึ่งนายปรีดีเรียกว่าเป็นสหกรนิยนนี้จึงได้เป็นส่วนผสมของแนวคิดสองแบบที่พยายามที่จะสร้างความเป็นธรรมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดขึ้นโดยสันติสักทีผ่านการปราณีปราณอมระหว่างชนชั้นต่างๆในสังคม

นอกจากนี้เค้าโครงเศรษฐกิจอันนี้มันเป็นจุดยืนที่สำคัญรัฐธรรมนูญฉบับนี้สำคัญเลยทุกๆคนเท่ากันหมดโดยตามกฎหมายแต่มันยังไม่เท่าเทียมกันในทางเศรษฐกิจอาจจะมีความต้องการให้มีคนเท่าเทียมในทางเศรษฐกิจเพราะถ้าเท่าเทียมทางเศรษฐกิจมันก็จะเท่าเทียมกันจริงๆทางการเมืองและก็วัฒนธรรมเพราะฉะนั้นเค้าโครงเศรษฐกิจนี้ก็ต้องการที่จะยืนญัติแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ

กล่าวคือลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนการที่นำเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจแนวตามบรรยากาศที่แนวขุนนางและกลุ่มเจ้านายจากระบอบเก่ายังคงหาทางที่จะยึดอำนาจกลับคืนประกอบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญที่นำเสนอไว้ในเอกสารนี้เป็นเรื่องที่ขณะราษฎรหลายคนลังเลที่จะเผชิญ

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้าdewabet

โพสท์ใน ประวัติศาสตร์ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง2475

สถาปัตยกรรมสวนลอยบาบิโลน

สถาปัตยกรรมคือสิ่งปลูกสร้างที่มีการออกแบบที่มีการผสมผสานทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ สถาปัตยกรรมต้องอาศัยทั้งสองสิ่งนี้ประกอบอยู่จึงจะสามารถออกมาเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามได้ และสถาปัตยกรรมถือเป็นผลงานที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของคนหรือสถานที่นั้นออกมาได้

ว่ามีความเป็นอยู่ลักษณะรวมถึงสามารถทำให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนได้ด้วย สถาปัตยกรรมจึงเป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจเพราะไม่ได้มีแต่เพียงความสวยงามในด้านการออกแบบที่มีการผสมผสานของศิลปะและวิทยาศาสตรืย่างลงตัวเท่านั้น แต่ในบางสถาปัตยกรรมก็เต็มไปด้วย

เรื่องเล่าและตำนานต่างๆมากมายที่เคยเกิดขึ้นในสถานที่นั้นๆหรือเหตุกรณ์ที่ทำให้เกิดสถาปัตยกรรมที่สวยงามหรือแปลกประหลาดเหล่านั้นขึ้นมา และในโลกของเรานั้นก็มีสิ่งที่เป็นสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอยู่ทั่วทุกทุทโลกด้วย

สวนลอยบาบินโลน ก็เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สวยงามและน่าสนใจแห่งหนึ่งของโลก สวนบาบอโลนั้นถุกจัดให้เป็น7สิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วย เพราะไม่เพียงแต่ความสวยงามที่มีการสร้างและออกแบบในเชิงสถาปัตยกรรมเท่านั้น

แต่สิ่งที่ทำให้สวนอห่งนี้นั้นเป็นหนึ่งในสิ่งมหัสจรรย์ก็คือเรื่องราวและเหตุการณ์ในการกำเนิดสวนลอยแห่งนี้ขึ้นมานั่นเอง สวนลอยนี้นั้นถูดตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำ สถาปัตยกรรมนี้นั้นตั้งอยู่ในประเทศอิรัก มีการสร้างโดยพระเจ้าผู้ปกครองเมืองในสมัยนั้นคือ Medo Persian Empire สถานที่สถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยความงามนี้นั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นของขวัญแก่มเหสีของพระองค์นั่นเอง

และเป็นที่ประทับเพื่อพักผ่อนหย่อยใจของพระนางด้ย โดยสถานที่นี้นั้นถูกสร้างเมื่อ600ปีก่อนคริสศักราช โดยพื้นที่ในการก่อสร้างนั้นมีพื้นที่ทั้งหใด400ตารางฟุตเลยทีเดียว มีความสูงและการจัดสร้างแบ่งออกเป็นชั้นในลักษณะขั้นบนใด และในทุกๆชั้นนั้นมีการประดับและตกแต่งด้วยดอกไม้ต้นไม้อย่างสวยงาม 

เนื่องจากมีต้นไม้เยอะทำให้ต้องมีการจัดตั้งระบบน้ำจากชลประทานหรือการนำน้ำในแม่น้ำที่ล้อมรอบสถานที่นี้มาใช้ในการบริโภคและใช้สอยในส่วนต่างๆ โดยน้ำในการเลี้ยงต้นไม้นั้นจะมีการทำเป็นในลักษระน้ำตกด้วยเพื่อให้สวยงามและเป็นสิ่งที่จะไปหล่อเลี้ยงต้นไม้ได้อย่างทั่วถึง

แต่อย่างไรก็ตามสวนบาบิดลนนี้นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่มีการทราบอบ่างแน่ชัดว่าสวนบาบิโลนนั้นมีการจัดตั้งอยู่ที่ใดกันแน่ และสวนนั้นอาจจะมีอยู่จริงแต่มีการถูกทำลายลงไปด้วยสาเหตุต่างๆ โดยสันนิษฐานว่ามีการทำลายหลังช่วงคริสต์ศักราชนั่นเอง สวนบาบิโลนนั้นถึงแม้จะเป็นสวนที่ดูจากการบันทึกแล้วนั้นจะเป็นสวนที่ดูมหัสจรรย์และสวยงาม

แต่อาจจะเป็นเพียงสวนที่อยู่ในความคิดและจินตนาการของนักเขียนชาวกรีกและโรมันเท่านั้นก็ได้ และก็มีการสันนิษบานต่อว่าอาจจะเป็นวนที่เป็นที่ตั้งขิงกษัตริย์เชนนาเชริบที่เป็นเพียงสถานที่สถาปัตยกรรมที่สวยงามและตั้งใกล้แม่น้ำเมืองโมซูลในประเทศซีเรียนั่นเอง อย่างไรก็ตามสวนลอยบาบิโลนนั้นก้เป็นสิ่งที่ได้มีการยอมรับว่าเป็นสิ่งที่สวยงามและมีการนำแบบจำลองของสวนลอยบาบิโลนนั้นไปเป็นต้นแบบในการสร้างสวนลอยในปัจจุบันด้วย

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  aesexy

โพสท์ใน ศิลปะ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน สถาปัตยกรรมสวนลอยบาบิโลน

ทำไมต้องเปลี่ยนแปลงไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอ?

การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือ จักรกลที่ผลักดันความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในตอนนั้นเพราะอุตสาหกรรมทำให้เกิดผู้ผลิตเกิดเจ้าของปัจจัยการผลิต และเกิดความต้องการแรงงานจำนวนมากหลายๆประเทศเริ่มตั้งคำถามกับระบอบเก่าที่ตัวเองอยู่มานาน

ซึ่งเทรนด์ ก็คือ ระบอบเก่าไม่สามารถปรับตัวเพื่อนำพาสังคมให้ไปรอดในโลกอนาคตได้เมื่อทำไม่ได้หรือไม่ได้รับการไว้วางใจการผลัดดันเพื่อการเปลี่ยนแปลงก็ตามมาและการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยเสมอไปด้วยเช่น

ญี่ปุ่นทำการปฏิรูปเมจิช่วงปี พ.ศ.2432หรือ ค.ศ.1889เปลี่ยนประเทศจากระบอบศักดินาของขุนนางหรือพวกไดเมียวเป็นระบอบสมบูรณาสสิทธิราชย์

โดยจักรพรรดิขับเคลื่อนประเทศด้วยทุนนิยมมุ่งหน้าเข้าสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจอุตสาหกรรมจนเป็นชาติเอเชียแต่ชนะสงครามกับรัเซียได้ในปีพ.ศ.2448หรือ ค.ศ.1905จากนั้นลิทธิบูชาทหารญี่ปุ่นก็รุ่งเรืองขึ้นมาทันที

การปฏิวัติซินไฮ่ในประเทศจีนเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2454หรือ ค.ศ.1911เป็นการปฏิวัติเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบกษัตริย์

ซึ่งได้มีมาหลายพันปีและเข้าสู่ยุคการแย่งชิงอำนาจอีกยาวนานกว่า40ปีและในช่วงของสงครามโลกครั้งที่1การเมืองในยุโปรก็ทวีความรุนแรงเกิดการปฏิวัติรัสเซียพระเจ้าซาร์หมดอำนาจในปี พ.ศ.2460หรือ ค.ศ.1917 อีกหนึ่งปีต่อมาในออสเตรีย-ฮังการี ไกเซอร์วิลเฮ็ล์มที่2ก็ถูกขับไล่เช่นกัน

สองเหตุการณ์หลังเป็นสิ่งที่ส่งอิทธิพลกับการเมืองในสยามมากๆเห็นได้จากการประกาศคณะราษฎรฉบับที่1มีช่วงหนึ่งระบุว่า ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมันซึ่งชนชาตินั้นได้โค่นบัลลังก์เสียแล้ว

สำหรับประเทศสยามที่มีการเปลี่ยนแปลงมาในปี พ.ศ.2474หรือ ค.ศ.1932ถ้าเทียบกับเหตุการณ์ระดับโลกแล้วก็ถือว่าการเปลี่ยนแปลงมาช้าไปหลายสิบปีเลยทีเดียวอีกแป๊ปเดียวสงครามโลกครั้งที่สองก็จะปะทุขึ้นแล้วแล้วอย่าลืมว่าคณะราษฎรเกือบทุกคนไม่ว่าจะสายพลเรือนหรือสายทหารมีพื้นเพจากคนที่ถูกส่งไปเรียนต่อในโลกตะวันตกที่เจริญก้าวหน้าและเสรีภาพเป็นเรื่องใหญ่

โดยเฉพาะยุโรป ทั้ง ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ ซึ่งในช่วงเวลาประมาณ ค.ศ.1920 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งงและครั้งที่สองช่วงเวลานั้นความเจริญเริ่มกลับเข้ามาหาคนชนชั้นกลางที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆการผลิตที่เคยเน้นผลิตอาวุธสงครามก็เปลี่ยนมาผลิตรถยนต์จำนวนมากเพื่อให้คนเข้าถึงได้พร้อมที่เข้าถึงที่ห่างไกลมาขึ้นมีวิทยุมีโทรศัพท์ตามบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะวิทยุที่เริ่มแพร่หลายเช่นในอังกฤษBBC Radioที่เป็นสื่อสาธารณะก็เริ่มออกอากาศในช่วงนั้นโทรทัศน์ขาวดำก็เริ่มประดิษฐ์ในช่วงนั้นเช่นเดียวกัน

 

สนับสนุนโดย  dewabet

โพสท์ใน ประวัติศาสตร์ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ทำไมต้องเปลี่ยนแปลงไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอ?

ชนิดของสีที่ใช้ในงานศิลปะ

ผลงานศิลปะที่ศิลปินสร้างสรรค์ออกมานั้น นอกจากจะมีการวาดรูปแล้วยังมีการใช้สีในการระบายผลงานด้วย และการใช้สีแต่ละชนิดก็แตกต่างกันไปตามความสามารถ ความถนัดของศิลปินแต่ละคน ผลงานศิลปะไม่มีการจำกัดใช้ชนิดสีอย่างตายตัว ศิลปินสามารถใช้สีชนิดใดก็ได้ที่ตนเองต้องการหรือถนัด ซึ่งสีที่ใช้ในการระบาย สร้างสรรค์ผลงานศิลปะมีด้วยกันทั้งหมด  8 ชนิด ดังนี้

1.สีเทียน 

สีที่มีลักษณะเป็นฝุ่นผงละเอียดนำไปผสมกับขี้ผึ้งหรือไขสัตว์ ก่อนจะนำไปอัดเป็นแท่ง สีเทียนมีลักษณะทึบแสง สามารถทาทับสีกันได้ หากไประบายสีอ่อนไปแล้วสามารถระบายสีเข้มทับได้ และสีเทียนมักไม่เกาะติดพื้น สามารถขูดออกได้ ซึ่งมักนิยมใช้สีเทียนในวัยเด็กที่กำลังหัดวาดรูป อย่างเช่น เด็กอนุบาล เป็นต้น

2.ดินสอสี 

สีที่มีลักษณะเป็นผงละเอียดก่อนจะนำไปผสมกับขี้ผึ้ง หรือไขสัตว์ แล้วนำไปอัดเป็นแท่งดินสอ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายสีชอล์ก แต่แท่งจะเรียวยาวกว่า และราคาถูกกว่า ดินสอสีเป็นสีที่เด็กๆนิยมใช้กัน และในปัจจุบันในการพัฒนาดินสอสีให้เป็นลักษณะดินสอสีไม้ระบายน้ำ คือนอกจากเป็นดินสอสีแล้วยังสามารถเป็นสีน้ำได้อีกด้วย โดยมีการใช้งานในลักษณธเดียวกับสีน้ำที่ต้องมีการนำพู่กันมาใช้ในการระบาย

3.สีน้ำ 

สีที่ใช้น้ำเป็นส่วนผสมหลัก ไม่ว่าจะเป็นการทำให้สีเจือจางหรือเข้มขึ้น และต้องใช้พู่กันในการระบายสี ดังนั้นศิลปินต้องมีความชำนาญในการผสมสีเข้ากับน้ำและการใช้พู่กันในแต่ละเบอร์ เพราะสีน้ำค่อนข้างควบคุมและแก้ไขได้ยาก สีน้ำเป็นสีที่มีการใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ทั้งในทวีปยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน และญี่ปุ่นที่มีความสามารถในการระบายสีน้ำอย่างเป็นเลิศ

4.สีโปสเตอร์ 

สีที่มีลักษณะเป็นฝุ่นก่อนนำไปผสมกาวน้ำแล้วบรรจุใส่ขวด เมื่อจะใช้งานต้องมีการใช้น้ำในการผสมสี ซึ่งมีลักษณะเดียวกับสีน้ำ ใช้น้ำเป็นส่วนผสมหลักเพื่อทำให้สีเกิดการเจือจางหรือเข้มขึ้น แต่สีโปสเตอร์จะเป็นเนื้อข้นกว่า มักใช้ในการวาดรูปออกแบบหรือวาดรูปประกอบเรื่องราวต่างๆ

5.สีชอล์ก 

สีที่มีลักษณะเป็นฝุ่นผงละเอียดผสมกาวยางไม้หรือขี้ผึ้งแล้วนำมาอัดเป็นแท่งเหมือนแท่งดินสอสี แต่สีชอล์กจะมีเนื้อที่ละเอียดและมีขนาดแท่งที่ใหญ่กว่าดินสอสี สีชอล์กถูกใช้ในการวาดภาพมากว่า 250 ปี โดยเฉพาะในงานวาดภาพเหมือน 

6.สีฝุ่น 

สีที่เกิดจากการที่มนุษย์นำหิน ดิน ทราย แร่ธาตุ สัตว์ พืชมาบดเป็นผงละเอียดแล้วผสมกับน้ำและกาวเพื่อนำไปใช้วาดรูปตามผนังในสมัยก่อน  แต่ในปัจจุบันสีฝุ่นมีลักษณะเป็นผง ถ้าจะใช้งานต้องนำสีฝุ่นไปผสมน้ำ เหมือนกับการใช้งานสีโปสเตอร์ สีฝุ่นเป็นสีที่มีความทึบแสง ศิลปินนิยมใช้ในการวาดภาพทั่วไป โดยเฉพาะการวาดภาพฝาผนัง

7.สีน้ำมัน 

สีที่มีการผสมระหว่างน้ำมันกับสีฝุ่น โดยน้ำมันที่ใช้ในการผสมส่วนใหญ่เป็นน้ำมันที่มาจากพืช มีลักษณะเป็นสีทึบแสง ศิลปินมักนิยมนำสีไปผสมสีขาวก่อนจะลงสี โดยใช้พู่กันในการระบาย สีน้ำมันค่อนข้างมีความคงทน กันน้ำและแห้งช้า จึงถูกนิยมนำไปใช้ในงานวาดรูปบนผ้าใบ งานวาดรูปที่มีขนาดใหญ่ๆ

8.สีอะครีลิค 

สีที่มีส่วนผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร์ จำพวกสารไวนิลหรืออะครีลิค  สีอะครีลิคเป็นสีที่ถูกคิดค้นและผลิตขึ้นมาใหม่ มีลักษณะโปร่งแสงและทึบแสง คล้ายกับสีน้ำและสีน้ำมัน หากจะใช้งานต้องนำไปผสมน้ำ สีอะครีลิคเป็นสีที่มีความทนทาน กันน้ำได้ดี และเหตุนี้จึงทำให้สีอะครีลิคมีราคาที่ค่อนข้างสูง

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เล่นหวยลาวยังไงให้ถูก

โพสท์ใน ศิลปะ | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน ชนิดของสีที่ใช้ในงานศิลปะ