วัฒนธรรมทางด้านศาสนาของประเทศไทย

วัฒนธรรมทางด้านศาสนา ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่เป็นลายลักษณ์อักษรของประเทศไทยกำหนดศาสนาประจำชาติ ดูเผินๆ เหมือนกับว่าประเทศไทยเป็น “รัฐฆราวาส” โดยสมบูรณ์

โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับอินโดนีเซีย ปากีสถาน หรือพม่า แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยไม่ได้ผ่านกระบวนการแบ่งแยกรัฐศาสนาอย่างเด็ดขาดเหมือนในยุโรป อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องให้คำจำกัดความก่อนว่า “รัฐศาสนา” ของไทยแตกต่างจากของตะวันตก ดังนั้น กระบวนการทำให้เป็นรัฐฆราวาสจึงควรแตกต่างจากกระบวนการของตะวันตกด้วย ชาวตะวันตกคิดว่าอำนาจเหนือมนุษย์เป็นของพระเจ้า ดังนั้นการปกครองหรือการใช้อำนาจในโลกนี้

จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมายเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากพระเจ้า แต่คนไทยคิดว่าอำนาจเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ หากไม่มีรัฐบาลเป็นผู้ถืออำนาจ ก็จะปรากฏว่ามีรัฐบาลใหม่ขึ้นมากุมอำนาจ และกุมอำนาจไว้ได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากใคร 18 แต่ผู้ถืออำนาจสามารถพิสูจน์ความชอบธรรมของตนได้โดยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จุดประสงค์หนึ่งของการกุมอำนาจก็เพื่อส่งเสริมและบำรุงพระพุทธศาสนา นับได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งของทางราชการ รัฐจึงเกิดขึ้น

เพื่อพระพุทธศาสนา ผู้ปกครองมีหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนามิให้ถูกครอบงำด้วยลัทธิอกุศล ในขณะเดียวกันก็ทรงใช้พระราชอำนาจสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนสะสมบารมีของพระราชาเพื่อจะก้าวผ่านวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่เพื่อบรรลุพระนิพพาน จุดประสงค์นี้จะเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินและรัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา 19

การปฏิรูปการปกครองและการศาสนาในรัชกาลที่ 5 มิได้ส่งผลกระทบต่อหลักการสำคัญนี้ การปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ก็ไม่ได้ลบล้างหลักการนี้เช่นกัน แม้จะไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญก็ตาม

ดังนั้นในธรรมนูญวัฒนธรรมไทย ศาสนาพุทธจึงมีสถานะพิเศษกว่าศาสนาอื่น แม้ว่าวิธีคิดแบบตะวันตกเกี่ยวกับ “รัฐฆราวาส” จะเป็นต้นแบบที่เราคัดลอกสัญลักษณ์ของ “ชาติ” รูปแบบใหม่ เช่น เพลงชาติ ธงชาติ ภาษาประจำชาติ และอื่นๆ แต่สาระสำคัญของ รัฐฆราวาสไม่ได้ถูกดูดกลืนเข้าไปในความคิดทางการเมืองของคนไทย และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความหมายมากนักสำหรับคนไทย เช่น สีขาวในธงชาติควรสื่อถึงศาสนา และอาจเลือกสีขาวเพราะไม่ได้ระบุชัดเจนว่านับถือศาสนาใด (สีและรูปทรงเกี่ยวข้องกับศาสนาในความคิดของผู้คน เช่น สีเขียวและดาว

สำหรับศาสนาอิสลาม สีเหลืองและวงล้อสำหรับพระพุทธศาสนา เป็นต้น) แต่หลังจากธงไตรรงค์เริ่มใช้ได้ไม่นาน ก็มีคนสร้างธงสำหรับศาสนาพุทธขึ้นมาต่างหาก ซึ่งสามารถเห็นได้เสมอตามวัดในช่วงเทศกาลทางศาสนา นั่นคือธงสีเหลืองที่มีวงล้อของกฎหมายอยู่ตรงกลาง มักแสดงร่วมกับธงชาติ

พระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่แค่ศาสนาหนึ่งที่ประชาชนทุกคนมีอิสระในการเลือกไม่ต่างจากศาสนาอื่น พระพุทธศาสนามีสถานะพิเศษในรัฐไทย รัฐธรรมนูญทุกฉบับบัญญัติว่าประมุขของรัฐต้องเป็นชาวพุทธ พระราชพิธี งานรัฐพิธี และงานพิธีต่าง ๆ ของทางราชการแทบทั้งหมดมีองค์ประกอบเป็นพิธีกรรมทางพุทธศาสนา

รัฐส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในและนอกประเทศโดยใช้รายได้ภาษีที่เก็บจากพลเมืองที่นับถือศาสนาอิสลาม คริสต์ ฮินดู และซิกข์ จึงไม่ใช่รัฐฆราวาสแท้เหมือนรัฐในยุโรปตะวันตก (ไม่จำเป็น เพราะเราไม่ได้ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกับเขามา แต่เอาแบบรัฐ เป็นหลักในการอ้างถึงทั้งๆ เราไม่เหมือนกัน) รัฐไทยเป็นรัฐพุทธไม่ว่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีโสเภณีและไม่ดื่มสุรา

แต่หมายความว่าเราให้สถานะพุทธศาสนาพิเศษกว่าที่อื่น รัฐไทยมีความเป็นกลางระหว่างศาสนาคริสต์ อิสลาม หรือฮินดู แต่รัฐไทยมีอคติต่อศาสนาพุทธโดยเจตนาและแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะมีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ และสิ่งนี้ถูกจารึกไว้อย่างเปิดเผยในรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    หน้ากากแอร์

เรื่องนี้ถูกเขียนใน ศิลปะ และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร